มาฆะเช้า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๒
ณ วันสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันมาฆบูชา วันมาฆบูชานี่เป็นวันมหัศจรรย์ เป็นวันเกียรติภูมิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละองค์ๆ ไป ถ้ามาเปรียบเทียบสังคมเหมือนที่ว่าเขียนเป็นตัวอย่างนี่ เปรียบเทียบสังคมเหมือนกับลูกกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ไม่ได้นัดหมายกัน อันนั้นมันเป็นประเพณีของเราเพราะเราเป็นชาวพุทธ แต่ในพระไตรปิฎกบอกว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้าเรานี่ เวลามารวมกันถึงหมื่นองค์ ถึงแปดพันองค์ ถึงหกพันองค์ จนมาพระพุทธเจ้าเรานี่ ๑,๒๕๐ องค์
เพราะว่าสร้างบารมีมา การสะสมมาเป็นพระพุทธเจ้านี่น้อยกว่าเขา เวลาชีวิตของเราก็ ๑๐๐ ปี เวลาชีวิตของภพอื่นๆ นี่ถึง ๘๐,๐๐๐ ปี พระพุทธเจ้าบางองค์มีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นเกียรติภูมิไง เวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วถึงอายุ ๖๐ เสร็จแล้วก็ได้สั่งสอน ได้เผยแผ่ธรรม จนบุคคลธรรมดา จนบุคคลปุถุชนกลายเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วได้รับการบวชเป็นเอหิภิกขุ มันสำคัญตรงนั้น
เอหิภิกขุหมายถึงว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้ไง อย่างชฏิล ๓ พี่น้องนั้นก็พันแล้ว เพราะอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย พวกนักวิชาการเขาพยายามแยกแยะว่า ๑,๒๕๐ องค์นี้เป็นใครบ้างไง เฉพาะตรงนี้ก็ ๑,๐๐๐ องค์แล้ว ยังมียสะเอยก็ ๕๐ องค์ ทั้งหมู่ด้วย ทั้งตัวเองด้วย แล้วทั้งพระปัญจวัคคีย์นี่ รวมๆ มาเป็น ๑,๒๕๐ องค์ เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย มันเป็นการยืนยันว่าศาสนาพุทธของเราสอนจนถึงสิ้นกิเลสได้ทั้งหมด แล้วเป็นบารมีหมายถึงเกียรติภูมิว่าเป็นลูกของตัวด้วย แล้วลูกของตัวเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดด้วย แล้วมารวมอยู่พร้อมกัน
พ่อองค์ศาสดาเป็นพระอรหันต์แล้วยังรวมอยู่ แต่องค์ก่อนหน้านั้นมีมากกว่านั้นอีก เป็นการยืนยันว่ามีมรรคมีผลไง เป็นผลแท้เกิดขึ้นจากความเป็นจริง เกิดจากศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปชำระกิเลสไง ธรรม คำว่าธรรม ศาสนธรรมเห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ว่าธรรมๆๆ ธรรมคืออะไร แล้วจะเข้าไปหาธรรมนั้นได้อย่างไร
ถึงได้สอนไง อย่างเช่นชฏิลบูชาไฟนี่ ก็เปรียบให้เห็นบูชาไฟ ไฟนี่เป็นของร้อน อารมณ์นี้เป็นของร้อน ความเห็นที่ว่าเป็นเราๆ นี่ร้อนทั้งหมดเลย ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะว่ามันทำให้เราเกิดราคะ เกิดโทสะ เกิดโมหะ แต่มันเย็นสำหรับผู้ที่ไม่รู้ ไม่รู้เพราะอะไร เพราะเราโกรธ เราพอใจเห็นไหม เราอยากได้อะไรขึ้นมานี่เราว่าเราอยากได้ เราได้สมความปรารถนา เราไม่เห็นความร้อนของสิ่งนั้นไง แต่พระพุทธเจ้ายกเปรียบเทียบให้เห็นว่ามันร้อนไง เราไม่เคยเห็นว่าความคิดเราร้อนเลย เราไม่เคยคิดเลยสิ่งที่เราจะได้มานี่เป็นของร้อน แต่พระพุทธเจ้าบอกได้มาแล้วเป็นของร้อน ร้อนจากความคิดจากภายในเห็นไหม
ร้อนจากความคิดภายในทำอย่างไรก่อน ต้องสงบมันก่อนไง ให้เอาความสงบนั้นสงบตัวลงก่อน แล้วถึงจะเริ่มต้นวิปัสสนา คือทำไง แต่เริ่มต้นเราไม่คิดอย่างนั้น ความคิดเราทุกคนคิดว่าเราแสวงหามา สิ่งนั้นดีทั้งนั้นเลย เพราะเราเป็นคนได้มาๆ เห็นไหม เราถึงว่าเป็นของดีไง เป็นของเย็น ของดี มันเป็นโลก เป็นโลกียะ ต้องสงบตัวนี้ก่อน สงบนี้ถึงยกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนาแล้วถึงชำระกิเลส แต่วิปัสสนาชำระกิเลสนั้นเป็นผู้ที่ปฏิบัติ เราเป็นคฤหัสถ์ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก แต่คฤหัสถ์ก็ต้องอาศัยไง
กายนี่ อาศัยกายนี่ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เรามีปากมีท้อง กินทุกวันเลย แล้วใจกินอะไร ใจอยู่ไหน กินเป็นไหม นี่เขาหาธรรมๆ ตรงนั้นน่ะ ธรรมคืออะไร ปากของใจอยู่ที่ไหน ใจนี้คือเสวยอารมณ์ๆ เข้าไป เสวยเพราะว่าความที่ว่าอารมณ์เข้าไปกระทบใจใช่ไหม สิ่งนี้พอใจ สิ่งนี้ดีใจ สิ่งนี้ถูกใจ กับสิ่งนี้ขัดใจเห็นไหม นั่นน่ะปากของใจ คือมันกินอารมณ์ เสวยอารมณ์
อารมณ์คืออะไร เวทนาเป็นเครื่องเสวย จิตนี้เสวยอารมณ์นั้น แล้วใจกินอะไร กินแล้วเป็นสมบัติแท้ด้วย บุญกุศลทำให้เกิดต่อๆ ไป ภพต่อๆ ไป เห็นไหม การเกิดการตายนี่คนเรามีเบื้องหลัง ดูสิ ดูอย่างหนังละครนี่ เราดูหนังดูละครเราดูแต่ข้างหน้ามัน แต่กว่าจะมาเป็นหนังเป็นละครเบื้องหลังยุ่งมากเลยนะ กว่าจะหานักแสดงได้ กว่าจะเขียนบท กว่าจะอะไร
เกิดเป็นมนุษย์นี้มาจากไหน เบื้องหน้าคือมนุษย์ไง แล้วหลังฉากของเป็นมนุษย์นี้มาจากไหน บุญกุศลนี่มันสะสมตรงนั้นไง ถ้าเบื้องหลังดี การดี ทุกอย่างดีนี่ เบื้องหน้าจะสวยงาม ถ้าเบื้องหลังบกพร่อง หนังละครเรื่องนั้นจะมีความบกพร่อง
ชีวิตเราเหมือนกัน ชีวิตเราอยู่นี่มันบกพร่องไง มันทุกข์อย่างไร มันมาจากเบื้องหลังด้วย แต่ปัจจุบันนี้เกิดมาแล้วมันควรพอใจในสิ่งที่เป็นมนุษย์นี้แล้ว ภพอันนี้เป็นภพที่อิสระ ภพที่ทุกคนมีสิทธิเสมอภาคไง เป็นธรรมทายาท เป็นทายาทเป็นญาติกันด้วยธรรม เพราะว่ามีปากและมีท้องเหมือนกันทุกคน มีสิทธิเท่าๆ กันทุกคนเห็นไหม อันนี้ถึงว่าภพของมนุษย์ แต่สิ่งที่จะเกิดเป็นสุขเป็นทุกข์นี้ปัจจุบันธรรม พระพุทธเจ้าสอนอีกเห็นไหม
อย่างเมื่อกี้ที่ว่าเบื้องหลัง เพราะว่าบุญกุศลที่ว่าจะทำให้เบื้องหลังมันสมบูรณ์ไง ถ้าเบื้องหลังสมบูรณ์ บุญนี้มันจะฝังลงไปที่ใจ เห็นไหม ใจมันก็เสวย แล้วพอมันตายไปพร้อมกับใจ ใจนี้มันทำให้เกิดตายเกิดตาย มันจะสูงขึ้นๆ เหมือนเบื้องหลัง
แล้วเบื้องหน้านี่ล่ะ เบื้องหน้านี่ไง วันนี้วันมาฆบูชา เบื้องหน้า เบื้องปัจจุบันนี้ จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก่อนแล้วถึงมาสั่งสอน ประกัน ๑,๒๕๐ องค์ด้วยการเอหิภิกขุนะ แล้วสถาบันสงฆ์ที่ว่าออกไปบวช อย่างพระสารีบุตรบวช ๕๐๐ บวชพันหนึ่ง เป็นพระอรหันต์อีกมากมายเลย พระอรหันต์นี้เต็มไปหมด เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเพราะว่าบารมีธรรมสมัยนั้นสมัยพุทธกาล ยังมีอีกมากมาย
แต่ที่มาหาพระพุทธเจ้านี้เป็นเพราะเหมือนกับลูกมาหาพ่อแม่ เอหิภิกขุไง บวชโดยสายตรง พระพุทธเจ้าเป็นคนบวชให้ พระพุทธเจ้าเป็นอุปัชฌาย์บวชให้ แล้วสำเร็จประโยคทั้งหมด กลับเข้ามา นั่นคือปัจจุบันธรรมที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ สร้างผลมาเป็นปัจจุบันนี้ให้เบื้องหลังนั้นยกขึ้นมาเป็นแค่เปรียบเทียบ แต่ไม่ไปยึดติดมันเพราะมันเป็นอดีตไปแล้ว เป็นเมื่อวาน สิ่งที่เป็นเมื่อวานนี้เราไม่ไปคิดถึงมัน
มันอยู่ที่ว่าวันนี้จะทำอะไร ปัจจุบันนี้จะทำอะไร แล้วไปเบื้องหน้าต่อไปข้างหน้าเพราะสิ่งที่จะส่งต่อไปไง พระพุทธเจ้าถึงสอนปัจจุบัน ปัจจุบันธรรมหมายถึงการชำระ เราพึ่งบุญกุศล เวลามันทุกข์ร้อน กินข้าวทุกวัน ชำระล้างร่างกายทุกวัน แต่หัวใจมันทุกข์อยู่ ก็ถึงว่าบุญกุศลอันนี้มันถึงจะเข้าไปตรงนั้นไง ใจเสวยบุญ ร่างกายกินข้าวปลาอาหาร แต่หัวใจต้องเสวยตรงนั้น มันถึงจะได้ให้เรามีความคิดที่ดีขึ้น มีหัวใจที่ดีขึ้น
มีความพอในใจ สุขทุกข์ขนาดไหนก็อยู่ในเมืองพอ อยู่ในปัจจุบันนี้คือว่าไม่ถึงกับว่าเครียด ไม่ถึงกับเดือดร้อนจนเกินไป แต่มันทุกข์ ทุกข์เพราะมันเป็นความจริง ถึงบอกว่าเมื่อกี้ที่ว่าเห็นไหม เพราะเราไม่เห็นว่ามันเป็นไฟเราถึงทุกข์ไง แต่ถ้าเห็นเป็นไฟนี่ ไอ้ความคิดอย่างนี้เป็นไฟ เราก็จะวางไว้ชั่วคราว วางไว้เห็นไหม วางไว้ในสิ่งที่เกินไง สิ่งที่เกินคือตัณหา ความเห็นส่วนที่เกิน แต่หน้าที่การงานนี้เราไม่วาง เพราะว่าหน้าที่การงานคือไม่ใช่ตัณหา เป็นหน้าที่ หน้าที่กับตัณหาแยกออกจากกันนะ
หน้าที่คืองานของเรานี่ ทำไมพระต้องบิณฑบาต พระไม่มีงานเหรอ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง พระยังต้องอาศัยปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยไป นี่คือหน้าที่ ถ้าพระโลภ พระหามาเกินไปนี่ตัณหา แต่ปัจจัย ๔ หามาเพื่อดำรงชีวิตอยู่ เพื่อจะศึกษาธรรม เพื่อจะปฏิบัติธรรมต่อไป นี่หน้าที่
เราก็เหมือนกันเราก็มีหน้าที่ หน้าที่ในการทำงานหน้าที่ของเรา แต่ที่ว่าดับไฟๆ คือความคิดเกินจากหน้าที่นี่ไง หวังสิ่งที่ไม่มี หวังสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เราหน้าที่ทำปัจจุบันนี้ไป วันนี้ดี พรุ่งนี้ต้องดี นี่ทำปัจจุบันให้ดี นี่หน้าที่นะ พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ไง สอนให้เห็นความร้อนของสิ่งที่ว่าเป็นตัณหาความทะยานอยาก กับมัคคะอริยสัจจัง ปฏิบัติตนให้สมควรแก่ธรรม
มัคคะคือการทำให้เราถูกต้อง ถ้าเราถูกต้องมา ดูอย่างเช่นปัจจุบันนี้ ที่มันทุกข์ยากอยู่นี่ ถ้ามันถูกต้อง เราอยู่ในขอบเขตเราจะไม่เดือดร้อนถึงขนาดนี้เลย เพราะว่าเห่อกันไง เห่อกันน่ะตัณหาทะยานอยาก อยากจะเป็นใหญ่เป็นโต อยากจะให้มันเจริญรุ่งเรืองจนเกินกว่าเหตุไง จนไม่มีสติยับยั้ง ถ้าเราคิดกันเองเราทำกันเองในหมู่พวกเรามันก็ยังพอทน แต่นี่มันแบบว่ามันมีความต่างกัน ผู้ที่มีปัญญาก็หลอกผู้ที่โง่กว่า เห็นไหม ปัญญาฉลาดกว่าก็หลอกที่เหยื่อ เหยื่อก็กินกันไป ก็หมุนเวียนจนหมุนไปถึงสุดท้ายแล้วมันก็เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ มันเป็นทุกข์กันอยู่นี้ มันไม่เป็นธรรมสมกับความเป็นจริงเห็นไหม
เราถึงว่าถ้าเรามีตรงนั้นเราก็ไม่เป็นเหยื่อเขา อยู่ในกระแสไง เกิดในทุกข์ อยู่โดยไม่ทุกข์ เกิดในทุกข์ เกิดมานี่ทุกข์แน่นอน แต่ถ้ามีธรรมะมาเจือมาจานมันจะไม่ทุกข์ อยู่ในทุกข์ อยู่กับมันนั่นล่ะ เพราะมันเป็นสัจจะ เห็นทุกข์ถึงจะปลดเปลื้องทุกข์ได้ นี่มันไม่เห็นทุกข์ มันไปเห็นผลของทุกข์ไง เรานี่เห็นผลของทุกข์นะ เห็นต่อเมื่อมันลำบากไปแล้ว เห็นต่อเมื่อนักโทษประหารไง พอเข้าไปถึงหลักประหารนี่ โอ้ ไม่น่าเลย
แต่ถ้าเห็นทุกข์ทีแรกเลยนี่ อะไรเป็นทุกข์ ทุกข์นี้เกิดมาจากไหน เห็นทุกข์ก็เห็นการเกิดไง การเกิดนี้เป็นทุกข์ อริยสัจข้อแรกเลย ทุกข์คือชาติปิ ทุกขา ตั้งแต่การเกิด พอการเกิดมันก็มีตัวนี้ตามมาๆ ถ้าจะแก้ทุกข์ตรงไหน แก้ตรงนี้ มันไม่เกิด ไม่เกิดเลย ไม่เกิดไม่ใช่ไม่คิด ไฟนี่มันสุมขอนอยู่ พลังงานมันส่งออกตลอดเวลา จิตที่จะไม่คิดเป็นไปไม่ได้ แต่คิดนี่มันคิดดีก่อน คิดดีก่อนๆ คิดดีไง คิดดีชำระล้างเข้าไป นั่นธรรมเข้าไป ธรรมนี่คือธรรมเข้ามาชำระล้าง ใจมันเสวยอย่างนี้ ใจไม่เคยได้ลิ้มรสของธรรมเลย รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง มันปฏิบัติธรรมมันก็ดูดดื่มไปเลย
พระเมื่อวานก็ถาม บอกทำไมเวลาปฏิบัติธรรมนี่ ทำไมมันต้องถูต้องไถแล้วมันไม่ได้ประโยชน์ แต่ทำไมไปเที่ยวกลางคืน เวลาไปนี่มันไม่ต้องอยากหรอกมันไปโดยธรรมชาติเลย บอกว่าสิ่งนั้นมันเคยใจอยู่แล้ว แต่คิดดูสิขนาดนั้นน่ะเราหลงแสง สี เสียง การเที่ยวเตร่กลางคืนนี่หลงแสง หลงสี หลงเสียง การเสพยา การเสพอะไรทุกอย่าง เขาบอกทำไมมันเสพแล้วมันติด ทำไมธรรมะมันไม่ติด
ความเคยใจไง ใจมันเคยสัมผัสอย่างนั้นมา รสชาติอย่างนั้นมันรู้อยู่แล้วไง แล้วมันเคยใจมันไปกันได้ง่ายไง แต่อย่างเช่นเราไม่เคยเล่นการพนัน เราไปดูกับพวกเล่นการพนันมันนั่งอย่างไรนี่ ๗ วัน ๗ คืน ๓ วัน ๓ คืน มันนั่งกันอยู่นั่นมันไม่บ้าเหรอ แต่ทำไมเขามีความสุขของเขาล่ะ
อันนี้ก็เหมือนกัน เพราะเราอยู่ในแสง สี เสียงนั้นน่ะ พอเราประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ในธรรมจะเห็นเลยว่าพวกนี้บ้า คึกคะนองอะไรไปขนาดนั้น ไม่มีเวล่ำเวลา สีเลนะสุคะติงยันติ ศีลทำให้เป็นสุข สีเลนะโภคะสัมปะทา ศีลทำให้เกิดโภคะ เห็นไหม สีเลนะนิพพุติงยันติ, ตัสมา สีลัง วิโสธะเย จนถึงนิพพานศีลเป็นผู้พาไป สีเลนะสุคะติงยันติ เขาไปเที่ยว ไปเล่นการพนัน มานี่เขานอนจนเที่ยงยังไม่ตื่นเลย แต่เราคนที่อยู่ปกตินี่เช้าขึ้นมาเราตื่นแล้ว เรามีงานทำแล้ว เราทำงานก่อนเขาแล้ว นี่เป็นปกติสุขไง ชีวิตที่เป็นปกติไง แต่เขาเที่ยวเกินเลยไปไง นี่ศีลครอบคลุมมาแล้ว สีเลนะโภคะสัมปะทา คืนนั้นหมดไปเท่าไหร่ ไม่เที่ยวคืนหนึ่ง ไม่กินเหล้าคืนหนึ่ง เงินเท่าไหร่ โภคสมบัติเกิดขึ้นแล้ว
นี่แค่เห็นความปกติก็จะเห็นแล้วสิ่งนั้นที่เขาทำมันผิดปกติ ทำไมเขาติด ติดเพราะเป็นความเคยเห็นไหม ความเคยๆ แต่ปฏิบัติธรรมน่ะ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง เรื่องของศีลนี้เป็นเรื่องขอบ เรื่องกติกา กติกาเหมือนกฎหมายใช้บังคับนะ สิ่งที่บังคับ ศีลเป็นข้อบังคับยังเห็นโทษขนาดนั้น
แล้วจิตเข้าไปถึงเสวยความสงบ สงบของใจ ความสงบไง เราไปหาแสง สี เสียง ก็เพื่อความพอใจ พอใจไม่ได้เสพสิ่งนั้นมันก็พอใจ แล้วมันติดด้วย ยิ่งเสพมันยิ่งมากขึ้นเรื่อย เที่ยวไปเรื่อยๆ แต่พอเราจะสงบ ความสงบรสมันจะแปลกมาก แปลกจากสิ่งที่เคยเจอ โลกนี้ไม่มีๆ ในโลกนี้ไม่มีจิตที่สงบ พอสงบมันจะอิ่มในใจของมันเอง มันจะพอใจของมัน สุขอย่างนี้ไม่เคยเกิด แล้วชอบ แล้วติด พอติดขึ้นมานี่เวลาภาวนาก็อยากได้ตรงนั้น แล้วไม่ได้เลย ตัณหาซ้อนตัณหาไม่ได้เลยเห็นไหม นี่รสของธรรม แค่รสของศีลนี่
แล้วรสของการวิปัสสนาจนอสุภะอสุภังไง อสุภะหมายถึงว่ารูป รส กลิ่น เสียงนั่นแหละที่มันติด มันเห็นความเป็นอสุภะไง เป็นของไม่แน่นอน เป็นของเน่าของเปื่อย ความเห็นโทษของมัน เป็นรังของเชื้อโรค เป็นรังของหนอน แต่ทำไมเราชอบ
ภาวนาถึงตรงนั้นครูบาอาจารย์หลายองค์บอก เวลาพิจารณาถึงนั้นนะจะสมเพชตัวเองไง ทำไมเราโง่อย่างนี้ ทำไมเราโง่อย่างนี้ ทุกคนจะว่าตัวเอง ก็เมื่อก่อนเห็นดีไง เมื่อก่อนเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นของดี แต่พอมันมารู้เท่าตามความเป็นจริง มันจะมาตำหนิตัวเองว่าทำไมเมื่อก่อนโง่อย่างนี้ ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นอย่างนี้ ทำไมเดี๋ยวถึงมาเห็น เห็นไหม รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง นี่เข้าถึงธรรมๆ ธรรมอันนี้ต่างหากปัจจุบันธรรม
ปัจจุบันธรรมเกิดขึ้นจากเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะๆ ที่ว่านี่ แล้ววันนี้ผู้ที่ปฏิบัติตาม ๑,๒๕๐ องค์ แต่เมื่อ ๒,๐๐๐ ปีที่แล้ว เป็นเครื่องยืนยันว่าปฏิบัติจริงสมควรแก่ธรรม มันก็ได้ธรรมะตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติจริง ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ตัดกระแสถึงการเกิดการตาย มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเหนือทุกๆ อย่าง เหนือวัฏฏะทั้งหมดเลย การแสวงหา การเข้าหา มันถึงได้เป็นการว่าต้องมีความจริงจัง มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก ผู้ที่รับสมบัตินี้ต้องมีความเข้มแข็ง ต้องมีความจริง ต้องผ่านอุปสรรคทั้งนั้นเลย วิชามาร วิชาเทพเห็นไหม เวลามัคคะอริยสัจจังเกิดขึ้น มันมีวิชามารเข้าไปเสียบในขณะที่ปฏิบัติ
อาจารย์มหาบัวว่า เดินจงกรมอยู่มันก็มาหลอกอยู่ในทางจงกรม นั่งสมาธิอยู่มันก็หลอกอยู่ในท่ามกลางนั่งสมาธิ วิชามารเกิดขึ้นขณะที่เรานั่งปฏิบัติอยู่ ท่ามกลางที่ว่าเราเดินมรรคนั่นแหละ อุปสรรคมันเกิดขึ้นทุกขั้นตอน เกิดทั้งหมด เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา เราจะชำระกิเลสเราต้องเชื่อธรรมะของพระพุทธเจ้า เชื่อปัญญาไง ปัญญาของพระพุทธเจ้า เชื่อธรรมะ เชื่อพุทธคุณ เชื่อปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า แล้วเราปฏิบัติตาม เราฟันธงลงไปเลย ต้องมั่นใจแล้วเราจะสมกับความปรารถนา สมกับที่ว่าเราเป็นชาวพุทธไง